เท้าเป็นอวัยวะที่เสียความชุ่มชื้นได้ง่ายและเป็นอวัยวะที่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยใส่ใจดูแล จึงเกิดปัญหาผิวตามมาได้ง่ายโดยเฉพาะที่ส้นเท้า และเมื่อต้องใส่รองเท้าแตะหรือรองเท้าส้นสูง ทำให้สาว ๆ หลายคนที่มีปัญหาส้นเท้าแตกเกิดความกังวลกับรอยแตกจนทำให้สูญเสียความมั่นใจ หรือกลายเป็นเสียบุคลิกภาพได้
นอกจากนี้ รอยแตกดังกล่าวยังสร้างความเจ็บปวดให้กับเราเวลาเดินอีกด้วย แต่ปัญหาเหล่านี้จะทุเลาและค่อย ๆ หายไปหากเราหมั่นทาครีมรักษาส้นเท้าแตกไว้เป็นประจำ เพราะครีมทาส้นเท้าแตกนี้จะมีส่วนผสมต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์ในการบำรุงผิวหลายอย่าง เช่น UREA, Shea Butter, วิตามิน E เป็นต้น ทั้งยังมีวางขายอยู่หลากหลายยี่ห้อให้เราเลือกสรร เช่น ครีม 91 อี, Ellgy, Polka ทำให้คนใช้อย่างเรา ๆ ลังเลกันตลอดว่า ยี่ห้อไหนที่มีประสิทธิภาพในการรักษามากที่สุด
วันนี้ เราจะมาเป็นผู้ช่วยแนะนำครีมทาส้นเท้าแตกที่เป็นที่นิยม โดยจะมีการเปรียบเทียบในแง่ของราคา ส่วนผสมและข้อโดดเด่นของแต่ละตัวทั้งยังสามารถหาซื้อทางออนไลน์ได้อย่างสะดวก และเรายังมาพร้อมทั้งวิธีการเลือกเพื่อให้ทุกคนเอาไปปรับใช้ในการซื้อได้
เพื่อที่จะเลือกครีมได้ถูกต้องเหมาะสมมาบำรุงส้นเท้าของคุณให้กลับมาเนียนนุ่มดังเดิม ก่อนอื่นเรามาดูวิธีการเลือกครีมกันก่อนเลยค่ะ ว่าต้องตรวจสอบปัจจัยอะไรบ้าง
ครีมทาส้นเท้าแตกแบ่งเป็นใหญ่ ๆ ได้ 2 ประเภทคือ ประเภทยาให้ผลในการป้องกันและช่วยรักษาอาการส้นเท้าแห้งแตก เหมาะกับคนที่มีปัญหาผิวจริงจัง กับอีกประเภทคือ ประเภทเครื่องสำอางที่ให้ผลในการดูแลให้ผิวแข็งแรง เหมาะกับคนที่ไม่ได้มีปัญหาผิวมากมาย อาจจะใช้นวดเพื่อช่วยให้ผ่อนคลายและให้ชุ่มชื้น ก่อนอื่นควรดูลักษณะอาการของตนเองแล้วเลือกให้ประเภทเหมาะสมก่อน
หลังจากพิจารณาสภาพส้นเท้าว่าเป็นแบบไหนแล้ว ก็ต้องทำการหาครีมที่มีส่วนผสมที่เหมาะสมกับสภาพเท้าของเรา
จุดสำคัญในการเลือกครีมทาส้นเท้าแตกคือ ครีมนั้นต้องสามารถให้ความชุ่มชื้นได้เพียงพอ เพราะส้นเท้าที่แตกนั้นส่วนใหญ่มักมีต้นเหตุมาจากการสูญเสียน้ำและน้ำมันในผิว แม้ว่าการเลือกครีมที่มีน้ำในปริมาณมากเป็นส่วนประกอบจะเป็นเรื่องดีก็จริง แต่หากครีมดังกล่าวมีส่วนผสมจากน้ำมันธรรมชาติเช่น วาสลีน, กลีเซอรีนหรือ Shea Butter ด้วย ก็จะยิ่งให้ความชุ่มชื้นและกักเก็บความชุ่มชื้นได้ยาวนานมากขึ้น
ยูเรีย (UREA) เป็นมอยส์เจอไรเซอร์ธรรมชาติที่มีสรรพคุณเป็นยารักษาโรคผิวหนัง ซึ่งจะช่วยลอกเซลล์ผิวหนังที่แข็งให้หลุดลอกออก จึงสามารถช่วยรักษาหนังบริเวณส้นเท้าที่แข็งและหนาให้อ่อนนุ่มลงได้
อย่างไรก็ตาม ถ้าใช้ครีมที่มีส่วนผสมของยูเรียเข้มข้นติดต่อกันนานเกินไปอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงได้ โดยครีมดังกล่าวจะทำให้การผลัดเซลล์ผิวเร็วขึ้นจนผิวบริเวณชั้นหนังกำพร้าอาจบางเกินไปได้ ดังนั้น เมื่ออาการส้นเท้าแตกดีขึ้นแล้ว แนะนำว่าควรเปลี่ยนมาใช้ครีมที่มีส่วนผสมของยูเรียที่มีความเข้มข้นต่ำหรือใช้ครีมปกติทั่วไปที่ไม่มียูเรียแทนจะดีกว่า
ขึ้นชื่อว่าเป็นครีมแล้ว สิ่งที่ทำให้ผู้ซื้ออย่างเรากังวลก็คือ ความเหนียวเหนอะหนะ โดยเฉพาะเมื่อเป็นครีมที่เอาไว้ทาส้นเท้า ถ้าครีมมีความเหนอะหนะทาทิ้งไว้นานเท่าไหร่ก็ยังติดอยู่อย่างนั้น ทำให้เวลาเดินครีมก็ไปติดตามพื้นหรือพรมจนเปื้อนเป็นรอย จนกลายเป็นทำให้เราไม่อยากทาครีมเอาได้ ดังนั้น ถ้าเป็นไปได้ให้เลือกครีมที่ซึมเข้าสู่ผิวได้ดี แม้ว่าไม่หายเหนียวทันทีที่ทา แต่แค่ทิ้งไว้สัก 5 นาทีก็หายเหนียวติดเท้าเพื่อความสะดวกในการใช้ค่ะ
ครีมทาส้นเท้ามักจะมาในรูปแบบบรรจุภัณฑ์ 3 ชนิด ซึ่งแต่ละชนิดก็มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไป
- แบบกระปุกหรือตลับ : เป็นชนิดที่แพร่หลายที่สุด มีทั้งแบบแก้วและพลาสติก
- แบบแท่ง : ทาได้โดยไม่ต้องใช้มือเกลี่ยโดยตรง จึงไม่ทำให้มือเปื้อน
- แบบหลอด : สามารถปรับปริมาณในการทาได้ง่าย อาจเป็นฝาแบบที่เปิด-ปิดได้ด้วยมือข้างเดียว
นอกจากนี้ควรหาครีมที่มีกลิ่นหอมในแบบที่เราชอบ เพราะจะช่วยให้เราทาครีมได้อย่างเพลิดเพลินในทุก ๆ วันและยังส่งผลให้รู้สึกสดชื่นผ่อนคลายในขณะทาอีกด้วย
ใครส้นเท้าแตกต้องใช้ตัวนี้เลย ได้ผลดีมาก แอดมีติดบ้านไว้ตลอด เวลาไปอินเดียก็ไปซื้อตุนไว้ ที่ไทยก็มีขายหลายเจ้าเลย ผู้หญิงอินเดียส้นเท้าแตกเยอะกว่าบ้านเรามาก เพราะบ้านเค้าอากาศแห้ง เวลาไปทำสปาเท้าทีนึงเห็นพนักงานนั่งขัดแต่ส้นเท้ากันเป็นครึ่งชั่วโมงเลยทีเดียว
ดังนั้นตัวนี้จึงเหมาะสำหรับคนที่ส้นเท้าแตกระแหง ใครที่มีส้นเท้าแตกมาก ๆ เป็นรอยดำ ๆ ตรงส้นเท้าด้วย แนะนำว่าให้ขัดออกก่อน แล้วทาโปะครีมตัวนี้เข้าไปเยอะ ๆ ได้เลย (ราคาถูกไม่ต้องกลัวเปลือง) แล้วใส่ถุงเท้านอน ตอนเช้าหลังอาบน้ำก็ทาไว้อีกหน่อย ไม่เกินอาทิตย์รับรองว่าส้นเท้าจะกลับมาเนียนนุ่มอย่างแน่นอนค่ะ
นอกจากนี้ ยังมีบทความ "ครีมทาเท้า" เพิ่มเติมของทีมงานบายเบสท์อีกหนึ่งบทความ ซึ่งได้รวบรวมข้อมูลสินค้าที่จะมาช่วยคืนความชุ่มชื้นให้ผิวส้นเท้าของคุณด้วย อย่าลืมอ่านกันนะคะ
ตอนนี้ก็มาถึงช่วงแนะนำ 10 อันดับ ครีมทาส้นเท้าแตกที่เป็นที่ยอดนิยมกันแล้วนะคะ ซึ่งครีมบางยี่ห้อนั้นสามารถนำไปทาเพื่อบำรุงผิวส่วนอื่น ๆ ของร่างกายที่ต้องการการดูแลเป็นพิเศษได้ด้วยค่ะ ยี่ห้อไหนหรือสูตรไหนมีข้อดี-ข้อเสียอย่างไร ลองเลื่อนลงไปอ่านด้านล่างกันได้เลยค่ะ
ครีมของคนไทยที่มีมายาวนานกว่า 50 ปี ใช้ทาบริเวณส้นเท้าที่แตกให้กลับมาเนียนนุ่มและช่วยปรับสีผิวให้เท่ากัน โดยจะให้ผลชัดเจนภายใน 1-2 สัปดาห์ นอกจากนี้ ยังสามารถใช้แก้ปัญหาสิว ฝ้าได้อีกด้วย และยังไม่หมดแค่นั้น บริเวณข้อศอกหรือหัวเข่าที่ดำแห้งกร้าน ผู้ที่มีผิวแตกลาย ครีมตัวนี้ก็สามารถดูแลได้ครบ โดยรอยคล้ำจะค่อย ๆ จางลงเมื่อใช้อย่างต่อเนื่อง
เนื้อครีมค่อนข้างเข้มข้นจึงทำให้ซึมเข้าสู่ผิวได้ยาก ดังนั้น ก่อนจะทาที่ส้นเท้าแนะนำว่าให้เอาครีมมาวอร์มที่มือก่อนเพื่อให้ครีมอ่อนนุ่มขึ้นจะได้ทาได้ง่ายและซึมเข้าสู่ผิวได้ดีขึ้น
แบรนด์ไทยชีววีถีที่ใช้สมุนไพรจากธรรมชาติแท้ ๆ บำรุงผิวบริเวณส้นเท้าที่แตกด้วยสารสกัดเข้มข้นจากกล้วยหอม เพราะในเปลือกกล้วยหอมนั้นอุดมไปด้วยวิตามินมากมายไม่ว่าจะเป็นวิตามิน B2, B6, B12, E และ A ซึ่งวิตามินเหล่านี้จำเป็นต่อการบำรุงผิวให้มีสุขภาพดี และช่วยให้ผิวเนียนนุ่มอีกด้วย นอกจากนี้ ยังมีส่วนผสมจาก Shea Butter ให้ความชุ่มชื้นสูง สามารถรักษารอยเท้าที่แตกเป็นร่องลึกให้ตื้นขึ้นได้
เมื่อเปิดฝาออกมา เนื้อครีมจะมีสีเหลือง เข้มข้น มีกลิ่นคล้ายกล้วยหอม นอกจากบริเวณส้นเท้าแล้ว ยังสามารถนำมาใช้กับบริเวณข้อศอกหรือเข่าที่แห้งแตกกระด้างได้อีกด้วย เหมาะกับผู้ที่มีผิวแห้งกร้านต้องการการดูแลเป็นพิเศษ
หากนึกถึงครีมทาส้นเท้าแตก หลาย ๆ คน คงนึกถึงครีม 91 อี ที่ประกอบด้วยวิตามิน E ช่วยให้ความชุ่มชื้นและป้องกันผิวแห้ง ทำให้ผิวที่สูญเสียน้ำให้กลับมานุ่มชุ่มชื่นอีกครั้ง มีส่วนผสมของกรด Salicylic (BHA) ที่ช่วยในการผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดลอกออก ทำให้ผิวขาวขึ้น สามารถใช้ได้ทั้งกับผิวหน้า ข้อศอก หัวเข่า ตาตุ่ม หรือบริเวณอื่น ๆ ที่มีอาการแตกลาย โดยครีมตัวนี้ได้ผ่านการทดสอบจากประเทศฝรั่งเศส (Under Dermatological Tested) แล้วว่าไม่ก่อให้เกิดการระคายเคือง
ครีมตัวนี้ หลังจากทาแล้วจะไม่เหนียวเหนอะหนะ ล้างออกง่าย ใช้ทาก่อนนอนแล้วใส่ถุงเท้าก็ได้ แต่ต้องใช้ต่อเนื่องเป็นเวลานานถึงจะเห็นผล แถมด้วยราคาที่ย่อมเยาและหาซื้อได้ง่าย
ครีมสูตรพิเศษจากมิสทีนที่อุดมด้วยสารสกัดจากธรรมชาติ เพื่อการบำรุงส้นเท้าโดยเฉพาะ ประกอบไปด้วยสารยูเรียแบบเข้มข้นที่ให้ความชุ่มชื่น Saccharide Isomerate ช่วยบรรเทาผื่นแดงคัน และ Tocopheryl Acetate หรือวิตามิน E เสถียรช่วยต่อต้านสารอนุมูลอิสระ ปกป้องผิวจากริ้วรอยก่อนวัย คืนความเนียนนุ่มให้ส้นเท้าที่แตก แห้งกร้านและปรับสมดุลแก่ผิวได้ดี
มีเนื้อครีมเข้มข้นจึงช่วยเข้าช่วยฟื้นฟูรอยแตกได้ดี มีกลิ่นหอม ให้ความรู้สึกผิวลื่นขึ้นหลังทา ไม่เหนียวเหนอะหนะ ใช้เพียง 2 สัปดาห์ ส้นเท้าที่แห้งแตกจะค่อย ๆ นุ่มขึ้นอย่างชัดเจน ควรใช้ในตอนกลางคืน โดยนวดให้ครีมซึมลงผิวแล้วสวมถุงเท้าทับไว้
ครีมทาส้นเท้าที่เป็นที่นิยมในประเทศเยอรมนี มีความอ่อนโยนต่อผิวเพราะไม่ผสมสารสังเคราะห์ที่ก่อให้เกิดการระคายเคือง ด้วยส่วนผสมที่เป็นสารบำรุงหลายชนิดทั้งยูเรีย 10 %, Panthenol, กลีเซอรีน, วิตามิน B3 (Niacinamide) เหมาะกับการบำรุงและฟื้นฟูทุกสภาพผิวรวมทั้งคนที่ผิวแห้งแบบสุดขั้ว
เนื้อครีมเข้มข้นแต่เกลี่ยได้ง่ายและซึมซาบไว ลดความเหนียวที่ก่อให้เกิดความไม่สบายผิว บรรจุภัณฑ์เป็นแบบหลอดที่เปิด-ปิดได้ง่ายด้วยมือเดียว แต่ตัวนี้จะมีราคาสูงเนื่องจากเป็นสินค้านำเข้า และมีข้อควรระวังคือ ควรเก็บผลิตภัณฑ์ไว้ในอุณหภูมิที่ต่ำกว่า 25°C
ครีมจากแบรนด์เวชสำอางค์ Vin21 ที่มีส่วนผสมของ AHA ที่สกัดจากผลไม้ธรรมชาติ ช่วยในการผลัดเซลล์ผิวเก่าที่แห้งแตก หนาและแข็งให้หลุดออกได้ดี ทั้งยังช่วยสมานผิวและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวเรียบเนียน รอยแตกดูตื้นขึ้น มาพร้อมเทคโนโลยี Hydrovance (Hydroxyethyl UREA) ที่มอบความชุ่มชื้นและกักเก็บความชุ่มชื้นไว้ใต้ผิว
หากใครที่ไม่ชอบครีมทาส้นเท้าแตกที่มีลักษณะเหนียว ลองพิจารณาครีมตัวนี้ดูค่ะ เพราะตัวนี้มีจุดเด่นที่เนื้อครีมซึมซาบเร็ว ไม่เหนียวเหนอะหนะ มีกลิ่นมินต์อ่อน ๆ ที่สดชื่น แถมยังช่วยลดกลิ่นไม่พึงประสงค์ได้ ใช้เพียงแค่ 3-7 วัน ผิวก็นุ่มขึ้น รอยแตกดูสมานกันอย่างเห็นได้ชัดเลยค่ะ
ครีมที่ช่วยรักษาส้นเท้าที่แห้ง แตกให้กลับมามีสุขภาพดีอีกครั้งด้วยส่วนผสมจากสมุนไพรธรรมชาติอย่าง Sal Tree (ต้นสาละ) ที่ใช้ในการรักษาโรคผิวหนังเนื่องจากมีฤทธิ์ช่วยต้านการอักเสบ ผสานด้วยขมิ้นที่ใช้ฆ่าเชื้อโรค เพิ่มเติมด้วยเม็ดลูกซัดและน้ำผึ้งที่มีสรรพคุณให้ความชุ่มชื่นสูง ปิดท้ายด้วยส่วนผสมของขิงที่ช่วยในการกระตุ้นการไหลเวียนเลือดให้ฝ่าเท้าอบอุ่นขึ้น
เนื้อครีมสีเบจเข้มข้น เกลี่ยง่าย ซึมเข้าสู่ผิวได้เร็ว มีกลิ่นหอม ผู้ใช้ทั้งในและต่างประเทศต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าอาการส้นเท้าแตกที่เป็นร่องลึกค่อย ๆ ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดภายใน 3-5 วัน เหมาะกับผู้ที่มีส้นเท้าแตกทุกระดับความรุนแรง และเหมาะแก่การใช้ทุกฤดูกาลเลยค่ะ
ครีมยอดฮิตตัวนี้มีส่วนผสมของยูเรีย (10%) ช่วยกักเก็บความชุ่มชื่นในผิวได้ยาวนานและเติมความชุ่มชื้นเข้าถึงเซลล์ผิวได้ดี ผสมผสานด้วยกรดไฮยาลูรอนิคที่ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้ผิวและ Squalane จากผลมะกอกที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระเพื่อช่วยต่อต้านริ้วรอย เนื้อครีมมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ เหนอะหนะเล็กน้อยในช่วงแรกแต่ซึมเข้าผิวได้อย่างรวดเร็ว ช่วยให้เท้าที่แตกเป็นแผลค่อย ๆ เนียนนุ่มขึ้นอย่างเห็นผล
นอกจากทาที่เท้าแล้ว ยังสามารถใช้ได้กับมือที่สากหรือเปื่อยลอก จมูกเล็บฉีก ข้อศอกและหัวเข่าที่แห้งกร้านได้อีกด้วย เป็นครีมที่ใช้งานได้หลากหลาย สะดวก มีทั้งแบบกระปุกและแบบหลอด เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่มีสภาพผิวแห้ง
ครีมสมานรอยเท้าแตกที่ประกอบไปด้วยส่วนผสมมอยส์เจอไรเซอร์จากธรรมชาติอย่างแร่ธาตุและสารสกัดจากสาหร่ายทะเล ทำหน้าที่ป้องกันการสูญเสียน้ำ เก็บกักความชุ่มชื้นได้เป็นเวลานาน ส่วนผสมของ AHA และวิตามิน B3 ช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่า ปรับสีผิวให้ขาวกระจ่างใสและช่วยให้ริ้วรอยดูจางลง พร้อมด้วยวิตามิน E ที่ช่วยคืนความยืดหยุ่นให้ผิวกลับมาเนียนนุ่มอีกครั้ง
เนื้อครีมเกลี่ยง่าย แต่ต้องนวดเล็กน้อยกว่าจะซึมเข้าสู่ผิว ได้รับการยืนยันจากผู้ใช้จริงจำนวนมากว่าส้นเท้าที่แข็ง แตกและแห้งกร้านค่อย ๆ นุ่มขึ้นหลังใช้เป็นประจำ รอยแตกก็สมานกันได้อย่างเห็นได้ชัด
หากคุณมีปัญหาส้นเท้าแตกและลองรักษามาหลายวิธีแล้วแต่ก็ยังไม่หาย เราขอแนะนำ Ellgy Plus ที่ถูกผลิตมาเพื่อการบำรุงส้นเท้าแตกโดยเฉพาะ ด้วยสูตร Intensive Moisturising System ที่ให้ความชุ่มชื่นลึกถึงผิวชั้นใน มีส่วนประกอบเด่น ๆ อยู่ 3 ชนิดได้แก่ Saccharide Isomerase เป็นมอยส์เจอไรเซอร์เข้มข้น Portulaca Extract จากโอเมก้า-3 ทำหน้าที่เหมือนเกราะป้องกันผิวหนังไม่ให้ความชุ่มชื้นระเหยออกไป และ 7-Dehydrocholesterol ที่ช่วยในการฟื้นฟูบำรุงผิว
ครีมตัวนี้ยังได้รับรีวิวเป็นเสียงเดียวกันว่า สามารถช่วยแก้ปัญหาส้นเท้าแตกได้จริง ซึมซาบเข้าสู่ผิวเร็ว ไม่เหนียวเหนอะหนะ หากทาติดต่อกันประมาณ 1-2 สัปดาห์จะเห็นผลชัดเจน หักคะแนนนิดหน่อยในเรื่องกลิ่น ราคาสมเหตุสมผลแถมประสิทธิภาพดีขนาดนี้ ไม่มีไม่ได้แล้วนะคะ!
เป็นอย่างไรบ้างคะ กับข้อมูลครีมทาส้นเท้าแตกที่เรานำมาฝากกันในวันนี้ หลาย ๆ คนคงได้เทคนิคการเลือกครีมทาส้นเท้าแตกกันไปแล้ว และบางคนคงได้ผลิตภัณฑ์ดี ๆ สำหรับใช้ในการบำรุงบริเวณเท้ากันไว้ในใจบ้างแล้วนะคะ ครีมทาส้นเท้าแตกนี้ไม่จำเป็นต้องใช้เมื่อประสบปัญหาส้นเท้าแตกเท่านั้น หากใครที่อยากบำรุงผิวบริเวณเท้าเพื่อป้องกันปัญหาเท้าแห้งแตก หรือเพื่อให้ผิวแข็งแรงรองรับการเดินเหินได้ตลอดทุกวันก็สามารถใช้ได้เช่นกัน
นอกจากใช้ครีมทาส้นเท้าแล้ว ก็ต้องอย่าลืมหมั่นทำความสะอาดรองเท้าเพื่อลดความอับชื้น เลือกซื้อรองเท้าที่ถ่ายเทอากาศได้ดี เพื่อป้องกันปัจจัยเสี่ยงของปัญหาส้นเท้าแตก หลีกเลี่ยงการใช้สบู่ที่มีฤทธิ์รุนแรง เพียงเท่านี้คุณก็จะมีความมั่นใจในการใส่รองเท้าที่โชว์เท้าได้มากขึ้นแล้ว บอกลาส้นเท้าที่แตก แห้งกร้านแล้วกลับมามีเท้าที่สวยกันได้เลยค่ะ